หมวดหมู่ - แพ่ง
ข้อเท็จจริง บิดาของผู้ร้องได้เสียชีวิตลง แต่ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ซึ่งบิดาก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดา โดยสินทรัพย์ของบิดามีที่ดิน ซึ่งย่าเป็นคนโอนให้บิดา แต่บิดาได้เสียชีวิตเสียก่อน ซึ่งแปลว่าสมบัติจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ย่า ผู้ร้อง และน้องอีก 3 คน แต่ทางญาติต้องการที่จะเป็นผู้จัดการมรดก
ประเด็นคำถาม
1. สมบัติจะถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วน คือ ผู้ร้อง ย่าและ น้อง 3 คน ใช่หรือไม่
2. ย่าสามารถยกเลิกการโอนที่ดินดังกล่าวได้หรือไม่
3. ถ้าทางญาติเป็นผู้จัดการมรดก ผู้จัดการมรดกสามารถโอนที่ดินไปให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องใน 5 คน ได้หรือไม่ หรือผู้จัดการมรดกโอนให้ทางย่าฝ่ายเดียวได้หรือไม่
4. การโอนทรัพย์สินให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีเวลากำหนดหรือไม่หลังจากบิดาเสียชีวิต
ข้อกฎหมาย
ป.พ.พ. ว่าด้วยมรดก
ข้อเท็จจริง ผู้ร้องเจรจาซื้อตึกแถวเก่าหนึ่งห้อง ในสัญญาระบุรายละเอียดว่า ราคาตึก 1,800,000 บาท ผู้ขายชำระค่าโอนทั้งหมดและต้องดำเนินการทุบฟุตบาทบริเวณหน้าตึกออกด้วย ต่อมามีการต่อรองราคาลงมาเหลือ 1,750,000 บาท จนต่อรองมาเหลือราคา 1,600,000 บาท และราคาลงมาสรุปที่ 1,440,000 บาท ซึ่งได้ทำสัญญากู้กับธนาคารและผู้ขายได้รับเงินครบถ้วนไปทั้งหมดแล้ว หลังจากนั้นประมาณ 6 วัน ผู้ร้องได้ทวงถามถึงการทุบฟุตบาท ผู้ขายขายกลับตอบประมาณว่าขายตึกไปแทบจะไม่ได้อะไรจะขาดทุนเสียด้วยเพราะเสียค่าโอนไปเกือบ 2 แสน เรื่องฟุตบาทให้ไปทำเอง
รายละเอียดการต่อรองราคาผู้ขายบอกว่าสามารถกู้เงินได้ 2 ล้าน แต่ทางธนาคารให้กู้เพียง 1,400,000 บาท และให้ผู้กูซ่อมแซมเพิ่มเติมอีก 200,000 บาท รวมเป็น 1,600,000 บาท ผมจึงบอกผู้ขายให้ลดราคาเหลือ 1,400,000 บาท ผู้ขายก็ตกลง แต่ผู้ขายได้ขอเงินกู้ซ่อมแซมซึ่งเบิกงวดแรกได้ 40,000 บาทด้วย บอกว่าช่วยๆกัน ผู้ร้องตกลง เพราะผู้ขายไปดำเนินการทาสีบางส่วนและจัดการเรื่องการเบิกเงินซ่อมแซมทั้งหมดแล้ว
ประเด็นคำถาม
ผู้ร้องขอปรึกษาว่า ผู้ร้องสามารถทำอะไรตามกฎหมายได้บ้างเพื่อให้ผู้ขายทำตามข้อตกลงที่ตกลงกันไว้เพาะไม่ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขาย (เคยทำตอนราคาอยู่ที่ 1,600,000 บาท บาทแต่ก็ไม่ได้เซ็นเพราะต้องไปแก้ราคาใหม่ ในสัญญาตอนนี้ระบุเรื่องการทุบฟุตบาทด้วย) สรุปคือ ไม่มีหนังสือสัญญามีแต่เพียงการตกลงทางวาจาเท่านั้น จึงขอคำแนะนำ
ข้อเท็จจริง คุณยายของผู้ร้องมีที่ดินอยู่สองส่วน คือที่อยู่อาศัยและที่นา ต่อมามีญาติห่างๆมาขออาศัยและปลูกบ้านในที่ดินเป็นระยะเวลามากว่า 10 ปี ซึ่งญาติผู้นั้นได้ปลูกต้นไม้กีดขวางทางเข้าออกนาข้าวของยายผู้ร้อง ทำให้รถไม่สามารถเข้าออกนาได้ จำต้องเข้าออกผ่านที่ดินข้างเคียง คุณยายทนลำบากเนื่องจากเค้าไม่มีที่ไป ด้วยความสงสาร
ปัจจุบันญาติผู้นั้นได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อขอกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดิน เนื่องจากเค้าได้อาศัยมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ซึ่งยายผู้เป็นเจ้าของไม่ยินยอม
ประเด็นคำถาม
1.มีวิธีใดบ้างที่จะไม่ให้เค้าได้กรรมสิทธิ์
2.หากคุณยายฟ้องขับไล่ได้หรือไม่
ข้อเท็จจริง เพื่อนผู้ร้องเป็นครอบครัวอิสลาม มีพ่อ แม่ และลูกสาว 1 คน วันหนึ่งพ่อเสียชีวิต และไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ อยู่มาวันหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งมา อ้างว่าตนเองเป็นภรรยาพร้อมลูกชายคนหนึ่งมาอ้างว่าเป็นลูก และมาเรียกร้องสิทธิในการขอรับมรดก ซึ่งตอนที่พ่อป่วยก่อนเสียชีวิตก็ไม่ได้มาดูแลอะไรทั้งสิ้น ทางแม่และลูกสาวก็ไม่ทราบอะไรมาก รู้แต่เพียงว่าพ่อเคยมีผู้หญิงคนหนึ่งก่อนที่จะมาแต่งงานกับแม่ ไม่เคยติดต่อกันเลยตั้งแต่แต่งงานกับแม่ แถมลูกชายคนนี้พ่อเองก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกตนเองจริงๆหรือเปล่า ที่ผู้หญิงคนนี้เอามาอ้าง วันนี้เขามารวมตัวกับญาติๆของพ่อเรียกร้องสิทธิ มากดดันแม่จะเอามรดกของพ่อที่เสียชีวิตไป ทั้งๆ ที่แม่และลูกสาวยังอยู่ ถึงขั้นถ้าไม่ให้จะไปดำเนินคดีและจะไปให้ โต๊ะอิหม่าน มาเป็นผู้จัดการแบ่งมรดกให้ ซึ่งแม่ของเพื่อนก็แต่งงานและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง เพื่อนของผมก็เป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน
ประเด็นคำถาม
1. เราจะขอพิสูจน์ได้หรือไม่ ว่าเขาเป็นลูกของพ่อ จริงหรือเปล่า
2. สิทธิในการรับมรดก ลูกสาวกับแม่ ไม่ได้เป็นผู้รับเพียง 2 คน แค่นั้นหรือ
3. แล้วเราจะจัดการอย่างไร ได้บ้าง ถ้าเขาจะถึงขั้นดำเนินคดีกันเลยทีเดียว ซึ่งเกิดความสงสัยว่าเขามีสิทธิขนาดนั้นเลยหรือ ทั้งๆที่แม่ก็แต่งงานอย่างถูกต้องตามหลักศาสนาและก็จดทะเบียนสมรสกันและมีบุตรอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ( ส่วนผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นลูกชายนั้น ตอนที่พ่อป่วยก่อนเสียชีวิต เขาก็ไม่เคยมาดูแล มาพาไปหาหมอแต่อย่างใดเลย จนกระทั่งพ่อเสียชีวิตลง แต่จู่ๆกลับมาขอส่วนแบ่งมรดกกันคนละครึ่ง รวมถึงญาติๆก็ไม่แวะเวียนมาเยี่ยมมาดูและก็จะขอส่วนแบ่งดัวยเหมือนกัน
ข้อเท็จจริง คุณพ่ออายุ 75 ปี เคยมีประวัติเป็นโรคประจำตัวเมื่อ5-6 ปีที่แล้วแต่ได้ทำการรักษาจนอาการเกือบเป็นปกติแล้ว โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ( พ.ศ 2554-2555 ) ไม่เคยเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับโรคไตเลยมีเพียงไปทำการตรวจเช็คและรับการรักษาเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงเป็นประจำ ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม 25555 มีผู้นำอาหารเสริมมาจำหน่ายให้ หลังจากรับประทานไป 5-6วัน เกิดอาการไตวายเฉียบพลัน จนต้องนำส่งไปรักษาตัวในโรงพยาบาล จนอาการปลอดภัย โดยเสียค่ารักษาไปเป็นจำนวนมากจากการสอบถามและตรวจสอบข้อมูล พบว่าพนักงานขายได้แนะนำให้รับประทานในปริมาณที่มากว่าที่ระบุไว้ด้านช้างกล่องหลายเท่า เลยทำให้เกิดผลข้างเคียงจนเกิดอาการไตวาย โดยมีหลักฐานเป็นลายมือเขียนแนะนำปริมาณการกินและมีพนักงานขายอีกคนหนึ่งอยู่ในระหว่างที่แนะนำด้วย
ประเด็นคำถาม
1. เราสามารถเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากพนักงานที่แนะนำให้รับประทานเกินขนาดได้หรือไม่
2. หากไม่สามารถเรียกร้องจากพนักงานขายได้ สามารถร้องเรียนไปทางบริษัทเพื่อให้รับผิดชอบได้หรือไม่
3. หากทั้งพนักงานและบริษัทไม่รับผิดชอบ เราสามารถร้องเรียนหรือฟ้องร้องได้หรือไม่ และจะต้องร้องเรียนหรือฟ้องร้องกับหน่วยงานใด
ข้อเท็จจริง หากดิฉันและสามีจะยกบุตรสาวอายุ 17 ปี ให้เป็นบุตรบุญธรรมของน้องชาย ( สมรสแล้ว )เพื่อให้เป็นผู้ปกครองในการค้ำประกันการรับทุนเรียนต่างประเทศ เนื่องจากดิฉันและสามีได้มีภาระผูกพันการค้ำประกันการรับทุนในต่างประเทศของบุตรคนโตไว้แล้ว จึงอยากปรึกษาว่า
ประเด็นคำถาม
1. ในทางกฎหมายจะต้องทำอย่างไรบ้าง ใช้เวลาดำเนินการนานเพียงใด (โดยทางปฏิบัติ ดิฉันก็ยังคงคูแลบุตรสาวเองเพียงแต่ว่าในการทำสัญญารับทุนนั้น เขาระบุว่าถ้าเป็น เด็กต่างชาติ ผู้ค้ำประกันต้องเป็นพ่อแม่เท่านั้นที่ค้ำประกันได้ และพ่อแม่ต้องไม่มีภาระค้ำประกันอื่นใดอยู่) และมีข้อกฎหมายใดที่ต้องคำนึงถึงอีกบ้าง
2. อนึ่ง หากในภาคหน้า เช่นเมื่อเรียนจบหรือใช้ทุนจบ ดิฉันจะสามารถขอรับบุตรคืนหรือยกเลิกการยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมได้หรือไม่
ข้อเท็จจริง ผมได้ซื้อตึกแถวจากผู้หญิงคนหนึ่งโดยมีการตกลงกันด้วยวาจามีรายละเอียดดังนี้ ราคา ตึก 1,800,000 บาท ผู้ขายจ่ายค่าโอนและทุบฟุตบาททางเท้าออกให้ผู้ซื้อ ต่อมามีการเจรจาต่อรองราคาลงมาเหลือ 1,400,000 บาท ซึ่งทางผมก็ด้องทำเรื่องกู้ธนาคารและได้จ่ายเงิน 1,400,000 บาทให้ผู้ขายไปหมดแล้ว ต่อมาผมได้ทวงถามถึงเรื่องการทุบฟุตบาท ผู้ขายกลับบอกว่าลดราคาลงมามากแล้ว เรื่องทุบฟุตบาทให้ไปทำเอง ผมรู้สึกว่าทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง จึงอยากขอคำแนะนำจากศูนย์นิติศาสตร์ว่ามีวิธีใดบ้างที่จะทำให้ผู้ขายทำตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้
ประเด็นคำถาม
มีวิธีใดบ้างที่จะให้ผู้ขายทำตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้ เพราะไม่ได้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร มีแค่การตกลงกันด้วยวาจาเท่านั้น
ข้อเท็จจริง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 ผู้ร้องได้เบิกเงินกองกลางที่ผู้ร้องดูแลอยู่มาให้พี่ที่รู้จักกันยืมเงินจำนวน 2,000 บาท โดยได้เขียนสัญญากู้ยืมเงินระหว่างกันไว้ โดยมีกำหนดการคืนเงินทั้งหมดในเดือนตุลาคม 2555 ด้วยความเป็นพี่น้องกัน (แม้จะเป็นแค่ญาติกัน) ระหว่างผู้ร้องกับผู้ยืมเงิน ผู้ร้องไม่ต้องการให้เกิดเรื่องใหญ่โต
ประเด็นคำถาม
1.หากผู้ยืมเงินไม่คืนเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน ผู้ร้องสามารถดำเนินการประการใดได้บ้าง
2. ผู้ร้องสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้หรือไม่ อย่างไร
ข้อเท็จจริง แฟนค้ำประกันให้คนรู้จักซึ่งเป็นพนักงานเงินรายได้ ประเภทประจำของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยพนักงานคนดังกล่าวไม่ได้ชำระหนี้ทั้งๆที่มีรายได้ต่อเดือนมากพอที่จะขำระหนี้ และเหลือไว้สำหรับการใช้จ่ายประจำวัน ซึ่งค่างวดในการชำระหนี้เพียง 2,400 บาท/ เดือน ตลอดเวลาการทำสัญญาคือตั้งแต่ 13 กันยายน 2554 ดิฉันไม่ทราบว่าพนักงานคนนั้นไม่เคยชำระหนี้เลย โดยเมื่อเจอกันเค้ามักจะพูดเสมอว่า “ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่ไม่ทำให้เดือนร้อนหรอก “ จนกรทั่งเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 แฟนได้รับจดหมายให้ไปชำระหนี้จำนวน 1 แสนกว่าบาท ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกัน ดิฉันโทรไปสอบถามสาเหตุที่เค้าไม่ชำระหนี้ เค้าตอบว่า “ ไม่ต้องห่วงนะพี่ไปเคลียร์แล้ว พี่ไม่ทำให้เดือดร้อนหรอก “ดิฉันก็เชื่อ จนกระทั่งวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ก็มีหมายศาลมาติดหน้าบ้าน ดิฉันพยายามสอบถามผู้รู้กฎหมายและค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ ซึ่งสิ่งที่ได้มาคือไม่มีกฎหมายคุ้มครองผู้ค้ำประกัน ไม่ต้องใช้หนี้แทน หากมีระบุในสัญญาว่าต้องใช้หนี้แทนและไม่มีการร้องเรียนสิทธิในทางกฎหมายในกรณีใดๆ ( ซึ่งคิดว่าธนาคารก็มีสัญญาในลักษณะนี้ ) และต้องใช้หนี้แทนเค้าอยู่ดี ทั้งๆไม่ได้ใช้เงินจำนวนดังกล่าวเลย และทั้งนี้ดิฉันสามารถไปไล่เบี้ยกับเค้าได้ในภายหลัง ซึ่งไม่รู้จะได้คืนหรือเปล่า เพราะขนาดเป็นธนาคารเป็นเจ้าหนี้เค้ายังไม่ยอมจ่ายเลย
ประเด็นคำถาม
1. หากพนักงานคนดังกล่าวมีเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้และทำให้แฟนต้องเดือดร้อน โดยเจตนานั้น ดูจากรายได้ที่เค้าได้รับในแต่ละเดือน แฟนสามารถที่ขอรายละเอียดรายรับของเค้าจากหน่วยงานต้นสังกัดได้หรือไม่
2. การกระทำในลักษณะนี้ของพนักงานมีความผิดจรรยาบรรณของการเป็นพนักงานธรรมศาสตร์ได้หรือไม่
3. หากมีพยานหลักฐานยืนยันว่าเค้ามีเจตนาไม่ชำระหนี้ซึ่งทำให้แฟน ได้รับความเดือดร้อนและเสียเครดิตแฟนสามารถเอาผิดทางอาญากับเค้าได้หรือไม่
4. แฟนดิฉันเป้นพนักงานเงินรายได้ของ มธ. เหมือนกัน หากจะทำหนังสือไปแจ้งถึงพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวและขอความร่วมมือจากหัวหน้าหน่วยงานให้มีคำสั่งให้เค้าชำระหนี้ได้หรือไม่
5. ในวันที่ 4 ก.พ.56 ศาลจะเรียกไปให้การและสืบพยานหากเค้าไม่ไปดิฉันก็ต้องชำระหนี้แทนเค้าจากข้อมูลที่ได้สืบค้นมา ซึ่งจำนวนเงินที่ต้องชำระแทน ดิฉันคงต้องเอารถไปเข้าไฟแนนท์ และค่าดำเนินการทุกอย่างด้วยหรือไม่ และหากเค้าไม่จ่ายจะทำอย่างไง มีสิทธิอายัดเงินค่าสำรองเลี้ยงชีพหรือค่าหุ้นสหกรณ์ที่เต้ามีอยู่ได้หรือไม่
ข้อเท็จจริง ศาลมีคำสั่งให้ผมและแม่เป็นผู้จัดการมรดกของพ่อ ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 แต่แม่ไม่ให้ผมจัดการทรัพย์สิน ใดๆ ของพ่อ แต่แม่ไปจัดการเองคนเดียว ไม่ว่าจะเป็น บ้าน, ที่ดิน, รถยนต์, บัญชีเงินฝาก เป็นต้น ผมเข้าใจว่าแม่มีปัญหาทางจิต มีอาการทางประสาท ชอบพูดคนเดียว อาละวาด ทำร้ายร่ายกายผมด้วย แต่แม่ไม่ยอมรับความจริง ขอปรึกษาทางศูนย์นิติศาสตร์ว่าควรทำอย่างไร
ประเด็นคำถาม
ข้อ.1 มีหน่วยงานไหนบ้างที่จะพูดกับแม่ของผมให้ทำในเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายได้บ้างและทางศูนย์นิติศาสตร์ช่วยหาทนายความดำเนินการเรื่องนี้ได้หรือไม่
ข้อ.2 จะพาแม่ไปพบหมอที่ไหนหรือให้หมอที่ไหนมารับตัวแม่ไปรักษาโรคทางจิตได้บ้าง และต้องการมาปรึกษาที่ศูนย์นิติศาสตร์ได้หรือไม่อย่างไร